เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม คนหูตาสว่างเขาพยายามแสวงหาสัจจะความจริงในใจของเขา สัจจะความจริงในใจของเขา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกให้ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโกคือหัวใจมันรับรู้น่ะ หัวใจมันสุขมันทุกข์มันอยู่ในหัวใจนี้ ถ้าหัวใจมันสุขมันทุกข์อยู่ในหัวใจนี้ เห็นไหม ผู้ที่ฉลาด ผู้ฉลาดเขาจะแสวงหาบุญกุศลเพื่อหัวใจของเขา แต่ผู้ที่หยาบ ผู้ที่หยาบเขาเห็นวัตถุไง เห็นปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นที่พึ่ง ถ้าเห็นปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นที่พึ่ง เราแสวงหาสิ่งนั้น
การแสวงหาสิ่งนั้นมันยังมีผลบวกและลบอีกนะ เวลาผลบวก สิ่งที่เราหามา หามาด้วยความสุจริต เราหามาด้วยความทุจริต จะหามาสิ่งใดแล้ว หามาเพื่อดำรงชีวิตไง ดำรงชีวิตเพราะอะไร เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง เกิดเป็นมนุษย์เพราะบุญกุศลของเราได้เกิดเป็นมนุษย์ เวลาบุญกุศลเราเกิดเป็นมนุษย์ เราดูสัตว์ ดูวัว ดูควายสิ เวลามันเกิดมีชีวิตของมัน เขามาฝึกมัน ใช้งานมัน ใช้ลากแอกลากไถจนกว่ามันชราภาพของมันไปทั้งชีวิต นี่ไง เวลาเกิดในอบายภูมิไง
เวลาเกิดในวัฏฏะๆ เราเกิดเป็นมนุษย์ เราจะทุกข์เราจะยากขนาดไหนนี่มีกฎหมายคุ้มครองนะ แล้วมนุษย์ช่วยเหลือเจือจานกันได้ มนุษย์มีหัวใจที่ดีงาม หัวใจที่ดีงาม ดูสิ เวลาความสามัคคี ดูมด มดมันสามัคคีกัน ตัวมันเล็กๆ นะ มันลากสัตว์ใหญ่ๆ ไปได้ทั้งนั้นน่ะ ด้วยความสามัคคีของมัน แต่มนุษย์ไปดูถูกมันไง ใจมดๆ คือมดมันตัวเล็ก ว่าใจมันเล็กน้อยไง แต่ใจของเรามันยิ่งใหญ่ไง ถ้าใจของเรามันยิ่งใหญ่ มันยิ่งใหญ่ที่ไหนล่ะ
ถ้าใจมันยิ่งใหญ่มันต้องมีสติปัญญาขึ้นมา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา มันเห็นคุณค่า ถ้าเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าการเสียสละทาน ถ้าเสียสละทาน เราเสียสละเพื่อใคร ก็เสียสละเพื่อหัวใจดวงนี้ไง เวลามันทุกข์มันยาก เวลามันทุกข์มันยาก สิ่งที่เสียสละนี้เสียสละเพื่อให้มันมีการเสียสละออกไป เสียสละออกไป ความตระหนี่ถี่เหนียว สิ่งที่มันพรากออกไป สิ่งที่ได้กลับมา ได้กลับมาคือความพอใจ คือความอบอุ่นของหัวใจดวงนี้ ถ้าหัวใจดวงนี้ มันเริ่มเห็นของมัน ทาน ศีล ภาวนา
ถ้าเราอัตคัดขาดแคลน เราไม่มีสิ่งใดจะให้ เราก็อนุโมทนา ให้อภัย ให้ความรู้สึกนึกคิดที่ดีๆ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ธรรมเป็นทานเป็นการให้ที่เลิศที่สุด ให้ธรรมเป็นทานๆ ถ้าเราให้ธรรมเป็นทาน เราให้ธรรมเป็นทาน สิ่งที่ว่าให้ธรรมเป็นทานคือให้วิชาการเขา ให้ความรู้เขา สิ่งที่ให้ความรู้เขา นี่เราย้อนกลับไปเรื่องการกีฬา กีฬาๆ เป็นยาวิเศษ ดูสิ มันเสียเหงื่อเสียไคล เสียทุกๆ อย่าง เพื่ออะไร เพื่อสุขภาพร่างกาย แล้วถ้ามีจิตใจที่ดีงาม แพ้ชนะเป็นเรื่องของการกีฬา มันมีแพ้มีชนะ มันไม่ชนะเรื่อยไปหรอก คนที่เก่งกล้าขนาดไหน ถ้าชราภาพไป เขาจะยั่งยืนไม่ได้ มันต้องถึงกาลเวลาเป็นอนิจจังทั้งนั้นน่ะ มันมีแพ้มีชนะ ถ้ามีแพ้มีชนะ ฝึกหัวใจของเราให้รู้จักแพ้รู้จักชนะ ถ้ารู้จักแพ้รู้จักชนะ คนมันจะดีขึ้นมา ถ้าดีขึ้นมา
สิ่งที่เวลาการกีฬาของเรา กีฬาแพ้ คนไม่แพ้ ใครไม่แพ้ นั่นทิฏฐิมานะในหัวใจนั้นไง ถ้าทิฏฐิมานะในหัวใจของเรา ถ้าเราฝึกหัดของเราๆ หัวใจที่มันยิ่งใหญ่มันยิ่งใหญ่อย่างนี้ไง ถ้ายิ่งใหญ่อย่างนี้ นี่การเสียสละทาน
จิตใจที่ยิ่งใหญ่ จิตใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาอยู่โคนต้นโพธิ์นั่นน่ะ อยู่องค์เดียวเท่านั้นน่ะ เวลาสั่งสอน สั่งสอน ๓ โลกธาตุ สั่งสอนเทวดา อินทร์ พรหมลงมาเลย แล้วก็สั่งสอนมนุษย์ๆ สั่งสอนมนุษย์ที่ทุกข์ที่ยากนี่ไง สั่งสอนมนุษย์ที่ทุกข์ที่ยากให้รู้จักเสียสละ ให้รู้จักทำคุณงามความดีของเรา
ถ้าคุณงามความดีของเรา อยู่ในสังคมถ้ามันทุกข์มันยากขึ้นมา คน กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม คนนั้นเป็นคนดี คนดี ทุกคนอยากช่วยเหลือเจือจานนะ ถ้าคนคนนั้นเป็นคนไม่ดี คนไม่ดีก็ไม่มีใครเขาอยากเข้าใกล้หรอก สิ่งที่ไม่อยากเข้าใกล้เพราะอะไร เพราะว่ามันทำเจ็บช้ำน้ำใจกันมาไง ความเจ็บช้ำน้ำใจ เห็นไหม
แต่ถ้าคน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาท่านพูดถึงนะ พูดถึงการแสดงธรรมของท่าน ท่านเปรียบเหมือนพระอาทิตย์ เวลาแสงอาทิตย์ไป มันไม่มีบ้านของคนรวยคนจน ไม่มีบ้านของคนจิตใจต่ำทราม ถ้าเขาทำเพื่อประโยชน์ของเขาได้ แต่เขาไม่เอาไง แสงที่ส่องไป เขาไม่รับรู้ เขาไม่สนใจ เขาไม่อะไรทั้งสิ้น ถ้าเขาไม่อะไรทั้งสิ้น เขาก็ไม่ได้อะไรเลย
แต่คนที่เขาแสวงหาของเขา แสงสว่าง สว่างมาจากไหน ถ้าแสงสว่างมาจากไหน แสงสว่างนี้ได้มาจากไหน ได้จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงสัจธรรมๆ เป็นความจริงไง ความจริงเรื่องอริยสัจ ความจริงเรื่องความจริงอันนั้นไง ความจริงเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตายไง แต่สิ่งที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นต้องมีการดับ ที่การเกิดคือเกิดแล้วมีแต่ความทุกข์ความยากไง ถ้าความทุกข์ความยาก แล้วเราจะปฏิเสธการเกิดก็ไม่ได้ไง เพราะเรามีหัวใจไง เรามีความรู้สึกอันนี้ไง ความรู้สึกอันนี้ทำลายมันไม่ได้
วัตถุข้าวของทำลายมันได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ความรู้สึกทำลายไม่ได้ เราพยายามปิดกั้นขนาดไหนมันก็มีทางเล็ดลอดไปได้ทั้งนั้นน่ะ ดูสิ เวลาตกนรกอเวจี ไม่หมดเวรหมดกรรม ไม่มีวันสิ้นสุดหรอก จิตไม่เคยตาย จิตมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันต้องเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน
แต่เวลาเรา ด้วยบุญกุศลของเรา เราได้เกิดเป็นมนุษย์ไง เกิดเป็นมนุษย์แล้วยังมีบุญกุศลตอนนี้ไง บุญกุศลนี่เราแสวงหา เรามาทำไมกัน เรามา เราขวนขวายมา เราเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดนะ ถ้าเราเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด สิ่งที่เสียค่าใช้จ่าย ดูสิ ทางโลก เราหามาเป็นสมบัติของเราแล้วเราเสียสละไปทำไมล่ะ
หามาๆ หามานี่เป็นสมมุติของโลกไง แต่ถ้าเราเสียสละของเรา เสียสละเพื่อความอบอุ่นของใจ มันเป็นทิพย์สมบัติ ของที่เสียสละไปแล้ว เสียสละไปแล้วมันเป็นทิพย์สมบัตินะ เราเป็นคนเสียสละไป เราเห็นเอง เราเป็นคนทำเอง ใครจะมาปิดกั้นเราไม่ได้เหมือนกัน เราได้สละจากมือของเราไป สิ่งที่วัตถุนี้เป็นวัตถุ แต่สิ่งนี้มันเป็นสดๆ ร้อนๆ นะ ให้อีก ๑๐ ปีข้างหน้า เราคิดถึง มันไม่มีบูดไม่มีเน่า
แล้วเวลาตายไป วิญญาณาหาร เวลาเทวดาไป หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดประจำ เราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ ท่านจะบอกเลย สวรรค์ไม่มีตลาดนะ พรหมก็ไม่มีตลาด
ในสวรรค์ในนรกไม่มีตลาด ไม่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน ไม่มี แล้วมันไปจากไหน ก็ไปจากธรรมนี่แหละ สิ่งที่เสียสละไปเป็นทิพย์สมบัติๆ มันไปกับเราไง สวรรค์ไม่มีตลาด หาซื้อไม่ได้ ไปถึงพอตายแล้ว หมดโอกาสแล้ว ถึงตอนนั้นมันก็เป็นไปตามบุญตามกรรมแล้ว แต่ถ้าเวลามันมีอยู่ที่นี่ ถ้ามีอยู่ที่นี่ เราเสียสละของเรา เราทำของเรา สิ่งที่เสียสละออกไปมันสดๆ ร้อนๆ มันเป็นทิพย์สมบัติๆ ของเราไง เสียสละของเราให้มากขึ้น ทำให้มันเคยชิน เหมือนกับสวดมนต์ กลางคืนก่อนนอนทำวัตรสวดมนต์ๆ ถ้าสวดมนต์ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อย่างน้อยก็ให้มันได้ บูชาพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณให้มันได้ขึ้นมา ถ้าได้ขึ้นมา มันนอนแล้วมันหลับสบาย นอนแล้วมีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คุ้มครองเราไง ไม่ใช่นอนไปแล้วสะดุ้งกลัวไง เวลานอนไปแล้ว นอนแล้วไม่มีความสุขอะไรเลย เวลาไม่มีความสุข เราก็ไปทางโลก ทางโลกก็ไปหาจิตแพทย์ไง แต่ถ้าเราไปหาพระๆ พระบอกว่าให้ดูแลหัวใจของเรา
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นอะไร ผู้ประเสริฐ วันนี้วันพระ ประเสริฐ อะไรเป็นประเสริฐ พุทธะ พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจนี้ประเสริฐ หัวใจนี้มันประเสริฐ
หัวใจที่มันทุกข์มันยาก หัวใจมันทุกข์มันยากเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง เพราะด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง ด้วยความอยากได้ทรัพย์สมบัติไง เหยียบหัวใจให้แบนแต๊ดแต๋เลย แต่ถ้าหัวใจมันยิ่งใหญ่นะ ทรัพย์สมบัติมันอยู่ภายนอก หัวใจ ดูสิ เราชูธงเราขึ้นมา ชูใจเราขึ้นมาด้วยสติด้วยปัญญา ดูสิ ดูพระเราบิณฑบาตๆ มานี่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เวลาเกิดมามันมีชีวิต สิ่งมีชีวิตต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เวลาเครื่องอาศัยก็อาศัยชีวิตนี้ไป อาศัยไว้ทำไม อาศัยไว้เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา อาศัยไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ อาศัยว่าชำระล้างกิเลสให้กิเลสหมดจากหัวใจนี้ไป ถ้าหมดจากหัวใจนี้ไป กิเลสมันหมดจากหัวใจนี้ไป หัวใจนี้ยังอยู่ใช่ไหม ถ้าหัวใจนี้ยังอยู่ หัวใจนี้เป็นประโยชน์กับเรา
นิพพานเที่ยงๆ มันเที่ยงตรงนี้ไง แต่หัวใจเราก็ยังอยู่ กิเลสมันก็ยังอยู่ ทุกอย่างก็ยังอยู่ มันก็เกิดดับๆ ในหัวใจ มันแผดเผา มันมอดไหม้ในหัวใจนี้ไง แต่เวลาเรามาฝึกหัดของเรา เราเสียสละทานของเรา ฟังธรรมของเรา เราอยากจะประพฤติปฏิบัติของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาเราคิดมันคิดฟุ้งซ่านไปทั้งวันทั้งคืนทุกข์ยากตลอด หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
แล้วคนไม่ทำงานมันจะมีกินหรือ คิดหัวแทบระเบิดมันยังทำไม่ประสบความสำเร็จเลย แล้วมัวแต่มาหายใจพุท หายใจโธอยู่นี่
คิดก็ส่วนคิด งานก็ส่วนงาน แต่ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จิตใจมันไม่ฟุ้งซ่านไป จิตใจนี้มันไม่โดนกิเลสลากไป หายใจเข้านึกพุท พุทธานุสติอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่เห็นคุณค่า กอดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้
ดูสิ เวลาอิทธิบาท ๔ ผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ปรารถนา บอกเป็นนัยให้พระอานนท์นิมนต์ไว้ๆ ถ้าพระอานนท์นิมนต์ไว้ ถ้าอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ แต่ด้วยพญามาร ด้วยต่างๆ ดลใจ พระอานนท์ไม่เข้าใจ บอกถึง ๑๖ หน ถึงสุดท้ายแล้วพระอานนท์ก็ยังไม่เข้าใจ ครั้งที่ ๑๖ ก็ยังไม่เข้าใจ ก็เลยปลงอายุสังขารไง เพราะมารดลใจๆ ตลอด เพราะมารมันเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารื้อสัตว์ ขนสัตว์ สิ่งที่เป็นสมบัติของเขาจะหายไปจากอำนาจของเขา
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร โลกธาตุนี้หวั่นไหวหมดเลย พระอานนท์เห็นความแปลกประหลาดก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีสิ่งใดเกิดขึ้น
อานนท์ มันเป็นเช่นนี้เอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด ตรัสรู้ ปลงอายุสังขาร ปรินิพพาน
พระอานนท์รู้เลย พอรู้ก็อ้อนวอนขอใหญ่เลย
อานนท์ เราบอกเธอแล้วถึง ๑๖ ครั้ง เธอไม่นิมนต์เราเลย ถ้าเธอนิมนต์ เราจะห้ามไว้สัก ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ เราจะรับนิมนต์ของเธอ
อิทธิบาท ๔ อยู่ได้อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ อยู่ได้ก็อยู่ได้ อยู่ได้เพราะอะไร อยู่ได้เพราะมีสติมีปัญญา ถ้าจิตไม่ออกจากร่างไป อะไรมันจะตาย มันไม่มีอะไรตายหรอก สิ่งที่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากหมดจากหัวใจนั้นไปแล้ว เห็นไหม จิตที่ไม่เคยตายเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นี่ผู้ที่มีอิทธิบาท ๔
แต่ของเรา เราอิทธิบาท ๔ มันก็เป็นตำรา เป็นการท่องจำ จิตตะ วิมังสา มีฉันทะ มีวิริยะ อุตสาหะ ต่างๆ มีอิทธิบาท ๔ เราก็พยายามทำของเราๆ อิทธิบาท ๔ ของเราก็เพื่อการประพฤติปฏิบัติ อิทธิบาท ๔ ของเรา เราก็ทำเพื่อความพอใจของเรา มีความพอใจทำสิ่งใดมันก็เป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงๆ ขึ้นมา เราปฏิบัติขึ้นมา
ถ้าปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติ เพราะว่าการประพฤติปฏิบัติ จิตของเรา หัวใจของเรา ถ้าคนหาไม่เจอ เราจะปลูกดอกบัวที่ใจ ปลูกดอกบัวที่ใจ ถ้าหาหัวใจของเราไม่เจอจะไปปลูกที่ไหน ถ้าเราหาหัวใจเราเจอ ถ้ามันปลูกดอกบัวที่ใจ
ดอกบัว ดอกบัวเกิดจากโคลมตม ใจเรามีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้าเราหาใจของเราเจอ ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาขึ้นมา นี่มันปลูกพุทธะ ดอกบัวก็พุทธะพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจนี้ไง ทำที่นี่ขึ้นมาให้มันเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์แบบนี้ ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม สัจธรรมๆ ธรรมนี้ยิ่งใหญ่นัก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ธรรมยิ่งใหญ่นักเพราะอะไร
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ถ้าเป็นฆราวาส อนุปุพพิกถา ให้เขาเสียสละทาน ทานนี้สำคัญมาก สำคัญที่ไหน สำคัญเพราะว่า หนึ่ง ผู้ที่กระทำนั้นได้ผลตอบแทน สังคมร่มเย็นเป็นสุข แล้วมันเกิดอำนาจวาสนาบารมี แล้วเกิดหัวใจที่แจ่มแจ้ง แล้วถึงเวลาแล้ว ทานก็คือทานใช่ไหม เวลาจะพ้นจากกิเลส พ้นจากกิเลสต้องเกิดมรรคเกิดผล เกิดมรรคเกิดผล เกิดศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ ถ้าคนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม จิตมันไม่ปกติ จิตมันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันอยู่
ถ้ามีศีล มีความปกติของใจ ใจมันปกติแล้วทำอย่างไรต่อ ทำความสงบของใจเข้ามา ใจเข้ามาก็เข้าบ้านของตน เข้าบ้านของตน เข้าไปในหัวใจของตน ถ้าเข้าไปในหัวใจของตน ถ้ามันใช้ปัญญาขึ้นมา เกิดภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นเพื่อสำรอกคายกิเลสออกจากหัวใจ ถ้ามันคายกิเลสออกจากหัวใจเป็นชั้นๆ เข้าไป เวลาพิจารณาไปสังโยชน์ขาด สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สังโยชน์ขาดไป ๓ พอขาดไป ๓ สิ่งที่มันมืดบอดในหัวใจมันเกิดมาไหน คนเกิดมาจากไหน คนมันมาอยู่แล้วอยู่เพื่ออะไร เวลาพิจารณาไปด้วยอำนาจวาสนาขึ้นมา พัฒนาขึ้นมาจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน เวลาพิจารณาใช้ปัญญาภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากในหัวใจ เวลามันขาด เวลามันขาดนี่สังโยชน์มันขาด สังโยชน์ขาด เป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ อย่างมาก อย่างมาก พอเกิดอีก ๗ ชาติ มันรู้
คนเราไม่มีต้นไม่มีปลาย เราไม่รู้ที่มาที่ไปนะ เราไม่รู้สิ่งใดๆ เลย แต่เวลาสังโยชน์มันขาดไปแล้วมันรู้ขึ้นมากลางหัวใจ เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ถ้ามันไม่เป็นปัจจัตตัง คนเป็นนายทหารได้ประดับยศ รู้ว่าเป็นนายทหารไหม รู้ นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันได้คุณธรรมมันไม่รู้ของมันหรือ เวลาคนที่มันพะรุงพะรังขึ้นมาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ด้วยบ้าบอคอแตก หาแต่สิ่งมาแผดเผาหัวใจของตน ของเราๆ ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย แต่เวลามันพิจารณาไป เวลาสังโยชน์มันขาด อกุปปธรรมๆ มันมีคุณธรรมในหัวใจ มันจะไม่รู้ได้อย่างไร พอมันรู้ขึ้นมา นั่นน่ะอย่างมากอีก ๗ ชาติ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก กลางหัวใจนั้นเลย ถ้ามันเป็นจริง มันเป็นจริงอย่างนี้ ถ้าเป็นจริงอย่างนี้ ไม่ลูบคลำในศีล สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบไม่คลำ ซื่อตรงสัจจะกับธรรมะไง จะไม่ถือมงคลตื่นข่าว จะไม่แฉลบออกนอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เด็ดขาด เด็ดขาดเพราะใจมันจริง ถ้าเป็นความจริงๆ อย่างนี้ เวลาพระภาวนาถ้าเป็นความจริง มันจะพัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป
ด้วยความหยาบหนา ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ภิกษุบวชใหม่ทนคำสั่งสอนได้ยาก เพราะมันเป็นทางโลกๆ ทางโลก สิทธิมนุษยชน เวลาคิดมันก็คิดจากหัวใจทั้งนั้นน่ะ แล้วมันก็โต้แย้งไปตลอด แล้วจะไปทำให้มันถลอกปอกเปิก จะไปถึงจับตัวมัน มันปฏิเสธทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น ทำความสงบของใจถึงทำได้ยากไง ถ้าทำความสงบของใจขึ้นมา ใจมันสงบแล้วเราจะหาหัวใจของเรา ใจสงบแล้วถ้ามันพิจารณาของเรา จะปลูกดอกบัวกลางหัวใจนั้น ถ้าปลูกดอกบัวกลางหัวใจนั้น มันจะเกิดพุทธะ เกิดความกระจ่างแจ้งในหัวใจนั้น ถ้าหัวใจนั้นเป็นจริงขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สันทิฏฐิโก ให้ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันเป็นความจริงอันนั้นไง ความจริงอันนั้นมันเกิดจากอะไร เกิดจากการขวนขวาย
แม้แต่เราทำบุญกุศล เราก็ปากกัดตีนถีบ เราขวนขวายของเรานะ เวลาภาวนาขึ้นมา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ก็เห็นคนเดินไปเดินมา แต่เขาเดินไปเดินมาเพื่ออะไรล่ะ เวลาหลวงปู่มั่นบอกพวกมูเซอ พุทโธเราหาย พุทโธเราหาย
เขาเดินไปเดินมา เขาหาพุทโธของเขา ถ้าเดินไปเดินมา เขาหาหัวใจของเขาเจอ แล้วเขาเดินไปเดินมา เขาใช้ปัญญาของเขา ร่างกายที่เดินไปเดินมา นั่งสมาธิภาวนา แต่ปัญญามันหมุนติ้วๆๆ กลางหัวใจเลย มรรคมันเคลื่อนน่ะ มันหมุนอยู่กลางหัวใจนั้นน่ะ หัวใจดวงใดไม่มีมรรคหัวใจดวงนั้นไม่มีผล ใครไม่เคยภาวนา ไม่เคยประสบ มันจะมีมรรคผลขึ้นมาในใจนั้นไม่ได้ มันมีได้มันก็ทรงจำธรรมวินัยก็ทรงจำมาทั้งนั้นน่ะ มันเป็นสัญญาจำของเขามา มันไม่มีความจริง
ถ้ามีความจริงๆ มันต้องเป็นความจริงในหัวใจอันนี้ไง สัจจะความจริงอย่างนี้มันเกิดขึ้นมา เห็นเดินไปเดินมา เขาเดิน เขาเดินภาวนา เขาเดินไปเดินมา เขาหาหัวใจของเขา เขาเดินไปเดินมา เขาพิจารณาของเขา นี่ยอดงาน งานที่จะรื้อภพรื้อชาติ ไม่ใช่งานสั่งสม งานทุกข์งานยาก แล้วงานทุกข์งานยากขึ้นมาแล้วก็ทุกข์ก็ยากอย่างนี้ เราถึงว่ามีอำนาจวาสนา
หลวงตาท่านพูดประจำ คนไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา การนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว พระปฏิบัติ การปฏิบัติคือปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติขึ้นมาคือค้นคว้าหาหัวใจของตน หาพุทธะ หาใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นมีสัมมาสมาธิขึ้นมาแล้วถ้าเกิดภาวนามยปัญญา เกิดปัญญาเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมานะ นั่นล่ะธรรมทายาท เป็นทายาทโดยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างนี้ไง เราถึงมาฟังธรรมๆ เพื่อตอกย้ำให้เรามั่นคงในพระพุทธศาสนา ให้เรามั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ใครมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน พยายามขวนขวายหาทรัพย์สมบัติของตน ทรัพย์สมบัตินี้เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์สมบัตินี้เป็นนามธรรมที่เข้าในหัวใจของเรา ทรัพย์สมบัตินี้เราขวนขวายของเราเพื่อประโยชน์กับหัวใจของเรา เอวัง